สำนึกรู้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : มีคำถามค่ะ เมื่อวันลอยกระทงที่ผ่านมา คุณแม่สามีป่วยหนักมาก สามีและดิฉัน ลูกสาว ต้องไปนอนเฝ้าที่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้าดูไข้หลายวัน คุณแม่ทรมานมาก พูดไม่รู้เรื่อง เพ้อแต่เรื่องบาปกรรม จริงๆ แล้วคุณแม่สามีเป็นคนดีมาก มีชีวิตน่าสงสารเหมือนนิยายน้ำเน่า
หมอบอกว่าผลตรวจเป็นปกติดีทุกอย่าง แต่ดูจากอาการแล้วทุกคนบอกว่าไม่มีทางที่จะกลับมาเหมือนเดิมได้ สามีไม่รู้จะทำอย่างใด จึงจุดธูปอธิษฐานหลวงพ่อองค์หนึ่งให้ช่วยเหลือ ตอนนี้คุณแม่สามีออกจากโรงพยาบาลแล้ว และอาการดีขึ้น สามีและดิฉันจึงพาลูกสาวไปหาคุณแม่ทุกอาทิตย์ เพราะท่านรักลูกสาวดิฉันมาก จึงไม่ค่อยได้มากราบหลวงพ่อค่ะ
ดิฉันมีคำถาม
๑. ดิฉันเคยปวดท้องมากเหมือนคุณแม่สามีเลย เห็นสีหน้าของหมอก็รู้ได้ว่าดิฉันต้องตายแน่ พยายามคิดถึงบาปกรรมที่ทำไว้ก็นึกไม่ออก คิดแต่ว่าปวดเหลือเกิน สามีก็ให้นึกพุทโธ ก็ทำไม่ได้ พยายามตั้งสติ แล้วนึกถึงหลวงพ่อองค์ที่เคยสอนกรรมฐานให้ จากนั้นก็หลับไป พอตื่นขึ้นมาก็หายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดิฉันสงสัยว่า ถ้าดิฉันตายไปจริงๆ ที่เคยฝึกกรรมฐานมาทั้งหมดก็จะเปล่าประโยชน์ใช่ไหมคะ เพราะจิตตอนนั้นมันทรมานมาก เห็นคุณแม่สามีเป็นเหมือนดิฉันแล้วสงสารมาก เราจะกำหนดจิตสุดท้ายของเราอย่างไรคะ มันยากมาก ถ้าใครไม่เคยเป็นคงไม่รู้
๒. ดิฉันเคยฝึกกรรมฐานมานานหลายสิบปี แต่พอแต่งงานแล้วมีภาระต้องทำเยอะ ทำให้จิตเสื่อมไปหมดแล้ว ตอนนี้ภาระเริ่มน้อยลงแล้ว จะกลับมาตั้งใจฝึกใหม่ จะเป็นไปได้หรือไม่ สมัยก่อนยังเด็ก ไม่เคยมีมารผจญ เดี๋ยวนี้แต่งงานแล้วต้องพบปะผู้คนมากมาย มีแต่คนคอยดูถูกกีดกันว่า สมาธิของดิฉันไม่ได้เรื่อง ไม่ถูกต้อง แต่ดิฉันฟังที่หลวงพ่อเทศน์แล้วดิฉันว่าดิฉันมาถูกทางแล้วค่ะ เพราะสมัยก่อนสามารถตะลุยนั่งสมาธิ เดินจงกรมได้ตลอดทั้งวัน จึงไม่เข้าใจในสิ่งที่พบเห็น แต่ก็ไม่เคยยึดติดปล่อยมันไป ตอนนี้มีความเข้าใจในภาคทฤษฎีมากขึ้นจากการฟังเทศน์หลวงพ่อ เหลือแต่ภาคปฏิบัติเท่านั้นที่กำลังจะพยายามทำอยู่ค่ะ แต่พอแก่แล้วทำไมมันยากเหลือเกิน
ตอบ : นี่ความเห็นของเขานะ มันเป็นปัญหาครอบครัว ปัญหาของวัฏฏะ ถ้าปัญหาของวัฏฏะ ดิฉันเคยป่วยไง เข้ามาถึงคำถามนะว่า แม่สามีเคยป่วย แต่เคยป่วยแล้วเราก็เคยป่วย พอเราเคยป่วยขึ้นมา เราก็คิดแบบนั้นน่ะ แล้วคนขาดที่พึ่ง ถ้าคนขาดที่พึ่ง พอขาดที่พึ่ง เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ไม่มีที่พึ่งก็กระวนกระวาย
แต่ถ้าคนมันมีที่พึ่งนะ คนมีที่พึ่ง การเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงตาท่านสอนว่า เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยให้ป่วยคนเดียว ให้ร่างกายนี้มันป่วยไข้ไป แต่จิตใจอย่าไปป่วยกับมัน
แต่นี้เวลาร่างกายมันป่วย จิตใจมันก็ป่วยไปด้วย นี้มันเป็นเรื่องธรรมดา คำว่า “ธรรมดาของคน” ในธรรมะสอนว่าคนเรามีกายกับใจๆ ถ้ากายกับใจ ร่างกายนี้มองเห็นกันได้ แต่หัวใจเรามองเห็นกันไม่ได้ เห็นได้เฉพาะจริตนิสัย
นิสัย เห็นไหม นิสัยคนเอาเปรียบคน นิสัยคนจิตใจดี นิสัยคนจิตใจปานกลาง เราดูจากพฤติกรรมของเขาว่านิสัยใจคอเขาเป็นแบบใด แต่นิสัยใจคอมันมาจากจิตไง มาจากความรู้สึกอันนั้นไง ถ้ามันมาจากจิต มาจากความรู้สึกอันนั้น ความรู้สึกที่ดี ความรู้สึกที่ดีเขาว่าจิตใจคนนี้เป็นคนดี แต่ความรู้สึกที่แสดงออกมาโดยการเอารัดเอาเปรียบ เขาว่าจิตใจคนนี้เป็นคนไม่ดี นี่กายกับใจๆ พอกายกับใจมันก็เกี่ยวเนื่องกัน คำว่า “เรื่องธรรมดา” เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมามันก็ป่วยหมดเลยทั้งกายกับใจ
แต่หลวงตาท่านเป็นนักปฏิบัติ ท่านบอกเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยให้กายมันป่วยไป ให้กายมันป่วย จิตใจอย่าไปป่วยกับมัน จิตใจของเรา เราต้องมีสติ เรามีสติมีปัญญารู้เท่าทันมัน รู้เท่าทัน พอรู้เท่าทันมัน จิตใจมันไม่เครียด มันไม่วิตกกังวล การรักษาก็รักษาได้ง่าย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็เจ็บไข้ได้ป่วยเฉพาะร่างกายนี้ หมอเขาก็รักษาไปตามตำราของเขา ไอ้จิตใจของเรา เรากำหนดรักษาใจเรา โอ๋ย! หมอก็รักษาง่าย ให้ความร่วมมือกันมันก็ดีไปหมด แต่ดีไปหมดแล้วนะ นี่ดีไปหมดโดยศีลธรรม แต่จริงๆ แล้วคนเรามันต้องชราคร่ำคร่าเป็นธรรมดา แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องนิพพานไปแล้ว ฉะนั้น ไอ้เรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเรื่องธรรมดา
แต่นี้เรามีเป้าหมายไง ต้องไม่ตาย พอเข้าโรงพยาบาลนะ “หมอหายไหม หมอหายไหม” คือเราคิดเอง หวังเอง แล้วมันไม่สมความปรารถนา แล้วไม่สมความปรารถนามันก็ดิ้นรนอย่างนี้ไง
ฉะนั้น ถ้าเราเข้าไปแล้ว เพราะว่าเรามอง ด้วยการมอง ทุกคนคิดแบบนั้น ว่าชีวิตแม่สามี ชีวิตน่าสงสารเหมือนนิยายน้ำเน่า เราไปรู้ถึงประวัติของใครเราก็สงสารไปทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าประวัติของคนบางคน เขาเกิดมาเขามีแต่ประสบความสำเร็จ เขามีแต่ร่มเย็นเป็นสุข อันนั้นก็วาสนาของเขา แต่โดยส่วนใหญ่มันเป็นอย่างนี้ เหมือนนิยายน้ำเน่า เห็นไหม เขาบอกว่าเวลาเขาดูละครน้ำเน่าๆ ชีวิตจริงน้ำเน่ากว่านั้นนะ ชีวิตจริง แล้วชีวิตจริงแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกัน อันนี้อันหนึ่ง อันนี้พูดถึงว่ามันเป็นเรื่องชีวิตจริง
ฉะนั้น เราเอาชีวิตจริงอันนี้แล้วเราก็มาสลดสังเวช สลดสังเวชถึงชีวิตของคนอื่น แล้วเราก็มาสลดสังเวชชีวิตของเรา นี่เพราะเราเคยเป็น
“๑. ดิฉันเคยปวดท้องมากค่ะ เหมือนคุณแม่สามีเลย เห็นสีหน้าหมอก็รู้ได้ว่าดิฉันต้องตายแน่ๆ”
จริงหรือ เวลาคนไข้นะ เวลาหมอเขารักษา เวลาวิกฤติขึ้นมา หมอเขาต้องรีบด่วน เราจะบอกว่านะ เวลาไปหาหมอๆ เพราะเราเองเราก็เคยพาญาติไปหาหมอเหมือนกัน ถ้าญาติไปหาหมอ หมอเขานัดพวกเราไปเลย บอกว่าญาติของเราอาการหนักมาก พออาการหนักมากแล้วเขารักษามา หมอเขาเห็นอาการแบบนี้มาตลอด เขาแนะนำว่า ให้ทางบ้าน เงินที่จะรักษา ถ้าทำใจได้ เงินที่รักษาเก็บไว้ เพื่อยังมีเงินให้กับญาติพี่น้องดำรงชีวิตต่อไปข้างหน้า
แล้วบอกว่า ทำไมหมอพูดอย่างนั้นล่ะ
เขาบอกว่าเขาเห็นมาเยอะมาก ที่ว่าเราทำงานมาทั้งชีวิตเลย เก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิตเลย แล้วพอถึงบั้นปลายเราก็จะรักษา ทุ่มรักษา ขายบ้าน ขายรถ ขายทุกอย่างหมดเลย แล้วรักษาตัวเรา พอรักษาตัวเรา ถึงที่สุดแล้วนะ อาการมันหนักขึ้นๆ เราต้องตายไป ลูก ลูกที่อยู่รับภาระต่อไปข้างหน้าเขาจะไม่มีอะไรเลย นี่หมอพูดอย่างนี้นะ
พอหมอพูดอย่างนี้เราก็บอกว่า “ญาติที่เราพามา ญาติที่พามาเขามีเงินที่รักษาได้”
เขาบอกว่า “ไหนเอาเงินมาดูซิ”
เราไปกับญาตินะ น้องควักเงินให้ดูเลย เพราะตอนนั้นยาเข็มหนึ่งมันพันกว่าบาท แล้วต้องฉีดตลอดไป เขากลัวมันจะกินกันไปตลอด
เขาบอก “ไหนขอดูเงินซิ”
ก็ควักเงินออกมา เขาถามนะ เราได้ยินกับหู หมอเขาถามว่า “เงินนี้กู้มาหรือเปล่า”
หมอไม่เชื่อ หมอไม่เชื่อว่าเงินนี้เอามาจากไหน เพราะก่อนที่เขาจะรักษา เขาต้องปรึกษากับญาติก่อนว่าจะทำกันอย่างไร บอกว่า ถ้ารักษาไปแล้วมันต้องใช้เงินมากนะ ต้องดูแลกันไปทั้งชีวิตนะ ต้องอย่างนี้นะ แล้วก็ถามว่าทำอย่างนี้ได้ไหม เราจะดูแลกันได้จริงหรือเปล่า
ทางญาติบอกว่าดูแลได้
ดูแลได้ก็บอกว่า มันต้องมีค่าใช้จ่ายอย่างนี้ๆๆ นะ มีเงินค่าใช้จ่ายหรือเปล่า
มี
มี ไหนขอดูเงินหน่อย
ควักเงินออกมาเขาถามเลย เงินนี้กู้มาหรือเปล่า
นี่เราไปด้วย เพราะญาติของเรา พี่สาวเราเอง ตอนนั้นพี่สาวเราเอง แล้วหมอเขาแนะนำว่าให้ปล่อยเถอะ แต่เราไม่ยอม เราจะรักษากันต่อไป รักษากันต่อไป
นี่เขาถามมีตังค์หรือเปล่า
มันได้ยินกับหูเลยนะ พอควักเงินมาให้ดูว่ามีจริงๆ “กู้มาหรือเปล่า”
กรณีเช่นนี้คงกรณีที่ว่าเขาเคยเห็นมามากไง ทีนี้เขาเคยเห็นมามาก ฉะนั้น เราพูดถึงว่า เขาบอกว่าเขาเห็นสีหน้าหมอ หมอเขาบอกว่านี่ต้องตายแน่ๆ เลย
หมอเวลาเขารักษา ปกตินะ หมอเขาเจอคนไข้วิกฤติอย่างนี้มาทุกวัน เราถึงเตือนพระเรานะว่าไปหาหมอๆ เราเป็นพระนะ ๑. เราเป็นพระ ๒. เป็นพระปฏิบัติด้วย ฉะนั้น เวลาไปหาหมอ จิตใจเราต้องเข้มแข็ง เราอย่ามายา เราอย่าแบบว่าเจ็บเล็กเจ็บน้อยก็แสดงอาการ มันน่าเบื่อ มันเป็นที่น่าเบื่อ เพราะเขาคุ้นเคย เขาทำมาทุกวัน เขาทำมาทุกวัน เขาเห็นทุกวัน ไอ้เรานี่ ทั้งชีวิตเรา ถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วย ตายก็จบใช่ไหม แต่นี่เขาเห็นของเขาทุกวัน เราเตือนเขานะ
ทีนี้ไอ้นี่เป็นความคิดของเราเองไง จิตใจของเราเอง หมอเขาเห็นหน้าเขาบอกต้องตายแน่ๆ เลย ผู้ถามก็บอกว่าก็คิดถึงพุทโธๆ สามีให้นึกพุทโธ พอพุทโธก็คิดถึงหลวงพ่อที่เราเคยไปปฏิบัติกับท่านมา หลับไป พอตื่นขึ้นมากลับบ้านได้เลย กลับบ้านได้เลย
อันนี้แบบว่า ถ้าเรามีสติมีปัญญานะ เรามีสามัญสำนึก ให้มีสามัญสำนึก เรื่องกรณีนี้มันเป็นกรณีผลของวัฏฏะ จิตใจของคนที่เข้มแข็งนะ หมอเขารักษา ถ้าจิตใจคนเข้มแข็งนะ เขาให้ความร่วมมือกับหมอรักษานะ หมอจะชื่นชมคนนั้นเลย จิตใจของคน ถ้าจิตใจคนอ่อนแอมันช็อกเลยนะ พอเจอเข็ม เขาร้องแล้ว ยิ่งจะวางยา ฉะนั้น หมอมันต้องมีคนคอยให้กำลังใจตลอด
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าข้อที่ ๑ มันเป็นเรื่อง เราเห็นว่ามันเป็นเรื่องผลของวัฏฏะ เป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้น ที่ว่าพอเห็นแม่สามีป่วย เราเคยป่วยมาแล้ว แล้วเราก็สะเทือนใจ นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเรื่องธรรมดานะ มรณานุสติ เราระลึกถึงความตายตลอดเวลา ทำให้จิตใจของเราไม่ฟุ้งซ่านจนเกินไป
เวลามรณานุสติ คำว่า “มรณานุสติ” เราไม่ใช่แช่งตัวเอง พอบอกว่า เราคิดถึงสิ่งที่ไม่ดีๆ ชีวิตเราจะเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร
เราคิดแต่เรื่องมรณานุสติเป็นเรื่องสัจธรรม ไม่ใช่เรื่องไม่ดี เรื่องสัจธรรม มันจะทำให้เราไม่โลภจนเกินไป ไม่ฟุ้งซ่านจนเกินไป เราทำด้วยข้อเท็จจริงเป็นวิทยาศาสตร์ ทำสิ่งใดเราก็ต้องมีโครงการ เราต้องมีการศึกษา เราต้องมีการวิจัย เราจะไม่ทำอะไรโดยความโลภ ไม่ทำอะไรโดยความไม่มีสติปัญญา ถ้าเรามีการวิจัย เรามีการศึกษา เราทำสิ่งใดไป ความผิดพลาดมันจะน้อยลง แล้วจิตใจของเราก็ไม่เดือดร้อนจนเกินไป นี่มรณานุสติไง ถ้ามีมรณานุสติ สิ่งนี้คิดได้เพื่อประโยชน์กับเราได้ ไม่ใช่บอกว่าคิดอย่างนี้แล้วชีวิตเรามันจะเศร้าหมอง
เขาเรียกว่ามีสำนึก สำนึกที่ดี สำนึกที่รู้ทำให้เราไม่ออกไปนอกเรื่องนอกราว นี่ข้อที่ ๑
“๒. ดิฉันเคยฝึกกรรมฐานมา เมื่อก่อนนั้นปฏิบัติได้ดีมากเลย แล้วเดี๋ยวนี้ปฏิบัติมันแย่ลงๆ”
ของนะ คนแก่ คนแก่ๆ อยากจะเป็นวัยรุ่น ไปหาหมอทำเต่งตึงตลอดเวลาเลย แล้วมันเป็นไหมล่ะ มันก็ชราคร่ำคร่าเป็นธรรมดา ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เมื่อก่อนยังไม่มีครอบครัว ภาวนาทั้งวันเลย เดี๋ยวนี้พอมีครอบครัวแล้วจิตใจเสื่อมหมดเลย แล้วจะกลับมาปฏิบัติใหม่
ก็กลับมาปฏิบัติ ก็ปฏิบัติใหม่ สิ่งนั้น เวลาเราเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนะ ทุกคนบอกเลยบอกว่า ชาตินี้เราปฏิบัติให้ดีเลย แล้วชาติหน้าจะปฏิบัติต่อไป ชาตินี้ปฏิบัติให้ดีเลย แต่เวลาตอนใกล้ตายมันมีอคติ ไปเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ แล้วพอเกิดขึ้นมาแล้ว มีอคติแล้วก็ปฏิเสธเลย โอ้โฮ! เข็ดเลยนะ ปฏิเสธศาสนาเลย แล้วจะปฏิบัติอะไรต่อไป
เราคิดถึงชาติหน้า ชาติต่อไปนะ ชาตินี้ปฏิบัติแค่นี้ ชาติหน้าจะปฏิบัติต่อเนื่อง แล้วชาติต่อไปจะเป็นพระอรหันต์ไปเลย โอ้โฮ! คิดข้ามภพข้ามชาติไปเลย
ในชาติปัจจุบันนี้ เห็นไหม ตอนที่ยังไม่แต่งงาน โอ๋ย! ภาวนาดี๊ดี พอตอนนี้แต่งงานแล้วเสื่อมหมดแล้ว ชาติเดียวมันยังเจริญแล้วเสื่อมขนาดนี้เลย นี่คิดถึงชาติหน้า ชาตินู้น ชาติต่อไปนะ
ผลของวัฏฏะ เวลาเวียนตายเวียนเกิด เอาชาติปัจจุบันนี้ทำให้ดีที่สุด สุคโต ปัจจุบันนี้สุคโต อนาคตมันสุคโต นี่ปัจจุบันนี้ไม่สุคโตนะ สิ่งนี้อดีตมันสุคโต อดีตยังไม่แต่งงาน ภาวนาทั้งวันหามรุ่งหามค่ำได้เลย พอแต่งงานแล้วทีนี้ไม่สุคโต นี่อดีตเป็นสุคโต ปัจจุบันไม่สุคโตแล้ว แล้วปัจจุบันไม่สุคโตแล้ว แล้วต่อไปจะสุคโตไหม จะสงบระงับไหม
สุคโตคือสุคติ สุคติที่หมาย ที่หมายที่ดีของเรา ถ้าที่หมายที่ดีของเรา เราก็หมายของเราตอนนี้สิ เราหมายในปัจจุบันนี้สิ ถ้าหมายในปัจจุบันมันก็จบไง ฉะนั้น ถ้าจะกลับมาปฏิบัติใหม่ เราก็ปฏิบัติของเรา เริ่มต้น ดูสิ คนเขาทำไร่ไถนา พอหมดหน้าทำไร่ไถนา พอหน้านาข้าวต่อไป เขาก็ต้องหว่านต้องไถเหมือนเดิม เขาก็ต้องไถ เขาต้องปรับที่ของเขา
นี่ก็เหมือนกัน เราก็มาปรับของเรา เรามาตั้งสติ เราก็มาภาวนาของเราไป เรามาคิด ที่นี่เมื่อ ๔-๕ ปีที่แล้วทำไร่ไถนาได้ผลดีมากเลย ปีนี้พอไปทำไร่ไถนา ปีนี้น้ำก็ขาดแคลน ทุกอย่างมันก็ไม่สมดุลเลย ผลผลิตปีนี้ไม่เห็นดีเลย แล้วก็คิดถึงว่า ๕ ปีที่แล้ว
๕ ปีที่แล้วก็ผ่านมาแล้ว ๕ ปีที่แล้วนะ สภาวะแวดล้อมแหล่งน้ำทุกอย่างมันดีหมด พอทำดีขึ้นมา ทุกคนมาทำอาชีพเดียวกัน เขาก็ดึงน้ำไปใช้หมด น้ำก็ต้องเจือจานกัน เขาก็ต้องแบ่งกัน
นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติ เมื่อก่อนเราปฏิบัติของเรา อู้ฮู! ปฏิบัติดีมากเลย เดี๋ยวนี้จะมาปฏิบัติ นู่น คนนู้นก็ปฏิบัติ คนนี้ก็ปฏิบัติ ที่เราไม่มีเลย
นี่ไง สัปปายะนะ สิ่งที่ผ่านไปแล้ว มันเป็นอดีตแล้ว ไม่ต้องไปวิตกวิจารณ์หรอก โยมยังคิดได้ ถ้าโยมยังคิดได้ว่าเคยปฏิบัติมา แล้วอยากจะมาปฏิบัติ นี่สำนึก สำนึกรู้ดีที่สุด ถ้าสำนึกที่ดีที่สุดอย่างนี้ แค่นี้มันก็คุ้มค่าแล้ว
ถ้าไม่มีสติปัญญานะ เมื่อก่อนปฏิบัติมาแล้ว เดี๋ยวนี้ปฏิบัติไม่ได้เลย ก็ปล่อยชีวิตลอยลมไปเลย ว่าวเชือกขาดเลย มันจะไปตกที่ไหนก็ช่างหัวมันแล้ว ว่าวเชือกมันขาดแล้ว แล้วแต่ลมจะพัดมันไป เราจะปล่อยชีวิตมันไปแบบนั้นมันก็เป็นเรื่องความคิดของเรา แต่พอจะมาปฏิบัตินะ อืม! เมื่อก่อนเคยดี เดี๋ยวนี้จะเป็นอย่างไร
อดีตน่ะ อดีตวางมันไว้ แล้วเอาปัจจุบันนี้ทำให้มันดีขึ้นมา ถ้าเราทำของเราดีได้ มันก็จะเป็นประโยชน์กับเราได้ ฉะนั้น สิ่งที่มันมีสติมีปัญญานะ คนที่มีธรรม ดูสิ มองชีวิตแม่ของสามี มองชีวิตของผู้เฒ่าผู้แก่ เวลาเขาตายไป เขาเจ็บไข้ได้ป่วย มันสะเทือนใจ อันนี้เป็นประโยชน์แล้วล่ะ เพราะอะไร ถ้าคนมีสติปัญญานะ เราจะมองสิ่งใด มันเอามาเตือนหัวใจของเราไง เอามาเตือนหัวใจของเรา
พระเราไปเที่ยวป่าช้า ไปดูซากศพก็เพื่อเตือนสติเรา เราไปดูซากดูศพ ดูคนอื่นตาย แล้วก็มาเตือนตัวเองว่าเราจะตาย ทีนี้พอเราเห็นอย่างนี้ เราดูชีวิตของคนอื่น แล้วเรามาสลดสังเวช อันนี้เป็นประโยชน์แล้ว ถ้าเป็นประโยชน์นะ ทีนี้เป็นประโยชน์แล้วทำไมมันทุกข์ล่ะ
เป็นประโยชน์ เวลาคนจะทำดี ทุกคนวิตกกังวลหมดเลย เวลามันจะเล่นไพ่ มันจะไปเที่ยวบาร์นะ มันไม่เคยคิดหรอก มันขนเงินไปหมดเลย พอหมดตัวแล้วกลับมา หมดแล้ว แล้วก็ไปกู้หนี้ยืมสินใช้ต่อไป แต่เวลาทำดีนะ นู่นก็ลำบาก นี่ก็ไม่ได้ จะทำดีนี่แหม! มันอุปสรรคเยอะไปหมดเลย แต่ถ้าจะไปเล่นไพ่นะ จะไปเที่ยวบาร์นะ ไปๆๆ ไม่ต้องคิดเลย ไปกลับมาแล้วค่อยคิดได้
แต่นี้พอมันจะทำดีก็คิดอย่างนี้ อู๋ย! นู่นก็ลำบาก นี่ก็ลำบาก นู่นก็ทำไม่ได้ เห็นไหม กิเลสมันแย่งชิงเอาไปกินก่อน มันแย่งชิงที่เราจะตั้งใจทำดี เอาไปกินก่อน ตั้งสติให้ดีๆ นะ ตั้งสติให้ดีๆ สำนึกรู้ให้ดีเป็นประโยชน์มาก
อันนี้เหมือนกันเลย
ถาม : เรื่อง “สอบถามเรื่องปฏิบัติและความฝัน”
กราบเท้าหลวงพ่อ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่ได้เมตตาตอบคำถามผมเสมอมา โดยเฉพาะเรื่องโลกธรรม ๘ ที่ผมกำลังเผชิญอยู่ ผมฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า พิจารณาตามจนเกิดสังเวชตัวเอง บางครั้งก็น้ำตาไหล หลวงพ่อพูดถูกทุกอย่าง จิตผมเสื่อม เคยควบคุมใจ ควบคุมความคิดและอารมณ์ได้ กลับต้องกลายมาเป็นทาสมันอีกครั้ง เพราะใจไม่เคยสูญเสียสิ่งที่รักที่เคยยึดมั่นมาตลอด มันทรมานมาก ตอนนี้ผมได้สติกลับมาแล้ว และกลับมาสู้กับมันอีกครั้ง ผมจะยึดมั่นในคุณพระรัตนตรัย ไม่ยอมปล่อยให้ใจกลายเป็นคนพาล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะเลือกกินแต่อารมณ์ที่ดี จะไม่ทิ้งการภาวนาไม่ว่าจะทำได้น้อยหรือมากก็ตาม จะภาวนาทุกวัน
ผมเคยภาวนาดูความทุกข์กายขณะที่มันปวดตอนนั่งสมาธิ และจับได้ว่า ถ้าแยกตัวเรากับความปวดออกจากกัน แล้วคอยระวังความอยากหายปวดที่มันเกิดแว็บออกมาเป็นระยะๆ มันจะไม่ปวด ถึงปวดก็ไม่มาก พอทนได้ แล้วมันจะไม่ทุกข์
คำถามคือ
๑. ตอนนี้ทุกข์ใจผมเด่นมาก ผมเปลี่ยนมาจับความทุกข์ใจแทน ใช้วิธีเดียวกันกับดูกาย คือดูเวทนาใจ ดูอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ แล้วถามว่าเอ็งอยากอะไรอยู่ ถ้ามันหาเหตุได้ มันก็จะดับไป แบบนี้ใช้ได้ไหมครับ หรือควรทำอย่างไรต่อไป
๒. คืนก่อนผมภาวนาจนหลับเหมือนเคย ผมฝันเห็นหลวงปู่มั่น ถึงจะไม่เห็นหน้าท่านชัด แต่ก็รู้ว่าเป็นท่านแน่ๆ เหมือนท่านเดินทางมาจากที่อื่น สะพายกลดมาด้วย ท่านมาที่ศาลาเล็กๆ ที่ผมนั่งอยู่ ท่านยื่นกลดกับผ้าเล็กๆ ผืนหนึ่งให้ ผมก็เอากลดนั้นไปเก็บและเอาผ้าไปซัก เหมือนผมเป็นพระอุปัฏฐากท่าน แล้วผมก็ตื่นขึ้นมา จิตมันนิ่งและมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาเหมือนออกจากสมาธิ พยายามตีความหมายความฝัน แต่ก็ตีไม่ออก จำเป็นต้องตีความหมายความฝันแบบนี้ไหมครับ กราบขอบพระคุณล่วงหน้า ผมจะพยายามรีบเรียนให้จบ
ตอบ : ไอ้นี่พูดถึงเขาถามมาเนาะ เอาข้อที่ ๑ “ตอนนี้ผมทุกข์ใจมาก ผมเปลี่ยนมาจับความทุกข์ในใจแทนวิธีดูกาย คือดูเวทนาทางใจ ดูอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ แล้วถามว่าเอ็งอยากจะทุกข์ไหม หาเหตุให้ได้มันก็จะดับไป”
อันนี้เป็นปัญญาอบรมสมาธิเนาะ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ สมาธิอบรมปัญญาก็ได้ ถ้ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิหรือสมาธิอบรมปัญญา สิ่งที่มันผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป ทุกข์มากทุกๆ คน ถ้ามันทุกข์นะ
คนเราจะทุกข์หรือจะมีความสุข มันอยู่ที่มีสติปัญญา มีสติปัญญานะ มันเหมือนกับเราอยู่กับปัจจุบันไง ในปัจจุบันนี้ เขาบอกเขาจะรีบเรียนให้จบ เขาไปเรียนอยู่เมืองนอก ถ้าเรียนอยู่เมืองนอก เราก็ขวนขวายการเรียนสิ ดีเสียด้วย ดีจะได้มีสติมีปัญญาอย่างนี้ ถ้าไม่มีสติปัญญานะ เวลาไปเรียนมันก็ไปเที่ยวเล่นอยู่นั่นน่ะ
เวลาคนไปเรียน เรียนไม่จบกลับมา มันไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมา แต่ถ้าไปเรียนๆ นะ เราเรียนเอาหน้าที่การงานของเรามา ทีนี้เวลาเรียนมันมีปัญญาขึ้นมา มีเวลาขึ้นมา เราก็จะภาวนา ถ้าภาวนา เราก็ภาวนาของเราไป เพราะการภาวนาจะทำให้สติ ทำให้จิตมันมีสติมีปัญญา การศึกษาเล่าเรียนมันก็เป็นชิ้นเป็นอัน เห็นไหม สำนึกรู้
เวลาสำนึกในตัวตนของเรา สำนึกดีมันเป็นความที่ดี ถ้าเราไม่สำนึกนะ เราบอกเราทำดีแล้ว ทุกคนมีเพื่อนหรือมีพ่อแม่สอนลูก ลูกบอกว่าทำดีแล้วๆ เราดีที่สุดแล้วๆ มันไม่สำนึกมันคือมันไม่พัฒนาขึ้น ไม่ดีขึ้นไง แต่ถ้ามันพัฒนาขึ้น มันดีขึ้น เพราะเรามีสติมีปัญญาเรารู้เท่า ถ้าเรามีสติมีปัญญาเรารู้เท่า มีสติปัญญาเพราะเหตุใดล่ะ มีสติปัญญาก็เพราะการภาวนา การภาวนาจะทำให้คนมีปัญญา
ทุกคนบอกอยากมีปัญญา อยากรู้เท่าทันคน อยากมีปัญญาๆ แต่ทำความสงบไม่ได้ ทำความสงบของใจเข้ามาแล้วมีปัญญาขึ้นมา เห็นไหม มันรู้เท่าทันตัวเอง แล้วมันก็ไม่เป็นเหยื่อไง ไม่เป็นเหยื่อให้คนอื่นมาน้อมนำเราไป ถ้าไม่มีคนอื่นมาน้อมนำเราไป เราเองมีสติปัญญา
พอมีสติปัญญามันสำนึกรู้ ถ้าสำนึกรู้ สำนึกตัวตนของเราขึ้นมา เราทำหน้าที่อะไรตอนนี้ ตอนนี้เราทำหน้าที่อะไร เรามาศึกษาเล่าเรียนใช่ไหม ถ้าเรามาศึกษาเล่าเรียน แล้วเราก็ศึกษาเล่าเรียน ถ้ายิ่งอยากเรียนดี เข้าห้องสมุด วิจัยของเรา ดูหนังสือของเรา ทำประโยชน์กับเรา แล้วถ้ามันเรียนจบแล้ว คนจบแล้ว คนนี้มีปัญญา ปัญญาขึ้นมาเพื่อเป็นวิชาชีพ ก็มีอาชีพ พอมีอาชีพขึ้นมา เลี้ยงชีพได้ พอเลี้ยงชีพได้แล้วเราจะปฏิบัติ แล้วเราจะเอาคุณงามความดีแค่ไหนเราก็ขวนขวายเอา
แต่ตอนนี้ถ้าจะเลี้ยงชีพ เราเลี้ยงชีพด้วยอะไร เราเลี้ยงชีพด้วยอะไร เพราะถ้าเรายังเรียนอยู่ ต้องเรียนให้จบ ถ้าเรียนให้จบ การเรียน การศึกษา มันก็ต้องใช้ปัญญา ถ้าปัญญา ถ้าเรียน เราก็กลับมาที่นี่ไง แล้วพอเรียนเสร็จแล้ว การภาวนามันจะหนุนกลับไปการศึกษาเล่าเรียนให้มันจบได้เร็วขึ้น เพราะมันศึกษา ศึกษาจากใจเรา ถ้าใจเราดี ใจเรามีหลักมีเกณฑ์ก็ใช้ได้
ฉะนั้น เขาถามไง ถามว่า สิ่งที่ว่าเดี๋ยวนี้ทุกข์ใจมันเด่นขึ้นมา เปลี่ยนจากการดูกายมาดูใจ มาดูเวทนาใจ มาดูอารมณ์ต่างๆ
อุบายวิธีการเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำอะไรทำอยู่ซ้ำๆ ซากๆ กิเลสมันหัวเราะเยาะเลย นักภาวนามันต้องมีปัญญาสิ ไอ้นักภาวนาทำไมมันเซ่อขนาดนี้นะ ทำไมมันหลอกง่ายมาก กิเลสมันบอก โอ๋ย! มึงง่ายเกินไป มึงหลอกได้ง่ายๆ เลย มึงมีหัวคิดเสียหน่อยสิ กิเลสมันอยากจะพูดอย่างนี้ไง แต่มันไม่ได้พูด ไม่ได้พูด ทำให้เรางงๆ ไง ทีนี้ถ้าเราใช้ปัญญาของเราไป เราใช้ปัญญา เราจะเข้าใจ
ไอ้นี่ไปศึกษาธรรมะมาก ศึกษาทุกอย่างเลย แต่เวลาปฏิบัติของเรา เราจะทำอย่างไรต่อไป
ถ้าทำต่อไปได้ ทำต่อไปได้มันรู้ ปัจจัตตังนะ เรารู้เองเห็นเอง เรารู้จริงของเราเอง รู้จริงเพื่อมาสอนใจเรา ถ้าใจเราสอนได้ มันอยู่ในสติปัญญาของเรา มันเป็นประโยชน์กับเราแล้ว ไอ้นี่ปฏิบัติไป สำนึกรู้ๆ ไปเรื่อยๆ สำนึกถึงตัวเรา มีสามัญสำนึก มีสามัญสำนึกคือมีสติ เวลามีสติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกก่อนจะนิพพานท่ามกลางสงฆ์ “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย”
ความประมาทกับชีวิต ความประมาท หน้าที่การงานของเรา เราศึกษา เราเล่าเรียน เราประมาทในชีวิตของเรา เราประมาทเอง แต่ถ้าเราไม่ประมาทนะ เรามีสติปัญญา สำนึกรู้สำคัญมากเลย จะทำให้เราฟื้นกลับมาหมด ถ้าฟื้นกลับมา เราฟื้นกลับมาคือเรายังมีชีวิต เราฟื้นกลับมาคือเรายังมีโอกาส ถ้าใครผิดพลาดมาก็ยังแก้ไขได้
ทีนี้ทางโลก พอผิดพลาดมาก็ประชดตัวเอง ทำร้ายตัวเอง ประชดตัวเองทำให้เสียหายมันไป เห็นไหม เขาไม่สำนึกตัวแล้วเขายังซ้ำเติมตัวเองไป แต่ถ้าเราสำนึกของเรา เราผิดพลาดสิ่งใดมา เราวางไว้ แต่เรายังมีความสำนึกที่จะแก้ไขได้เพราะเรายังมีสติมีปัญญา ยังมีชีวิตอยู่ ทำได้ ทำต่อไป
“๒. คืนก่อนภาวนาจนหลับไป ฝันเห็นหลวงปู่มั่น เห็นหน้าท่านไม่ชัด แต่รู้ว่าเป็นท่านแน่ๆ ท่านเดินทางมาจากที่อื่น เอากลดมาด้วย สะพายมาที่ศาลาที่ผมนั่งอยู่ ท่านยื่นกลดนั้นกับผ้าเล็กๆ ผืนหนึ่ง ให้เอาผ้านั้นไปซัก”
ฉะนั้น พอเวลาเขาตื่นขึ้นมาแล้ว เวลาตื่นขึ้นมามันมีความดีใจมาก ฉะนั้น สิ่งที่เขาถามว่า “จำเป็นจะต้องตีความหมายของความฝันหรือไม่ครับ”
ไม่จำเป็น มันไม่จำเป็นหรอก เวลาเราไปกินอาหาร เราไปกินอาหารหรือเรากินข้าว เรากินเสร็จแล้วเราต้องไปสืบหาอาหารนี้มาจากไหนไหม เรามีเงินมีทองเราก็ซื้อมา ซื้อมาเราก็กินเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตแล้วร่างกายแข็งแรงเพราะอาหารนั้นไม่เป็นพิษ อาหารนั้นเป็นประโยชน์กับร่างกายนี้ ร่างกายก็ดี ความฝัน ความฝันเราฝันว่าหลวงปู่มั่น นี่นั่งภาวนาอยู่แล้วหลวงปู่มั่นท่านเดินมา ท่านยื่นกลดให้เรา
ถ้าเราฝันนะ พอฝันแล้วมันมีความสุขไหม ปลื้มใจทั้งนั้นน่ะ ลองฝันว่าหลวงปู่มั่นมาหา อู๋ย! ตูดโด่งเลยล่ะ ลองฝันว่าครูบาอาจารย์มาหานี่มันปลื้มใจ ความปลื้มใจ เราเก็บไว้
เวลาทุกข์ใจไม่มีใครบอกว่าเราทุกข์เลย มีแต่เราคนเดียวบ่นว่าทุกข์ๆๆ ไม่มีใครทุกข์เหมือนเราเลย แต่เวลาเราฝันก็เป็นฝันของเรา ไม่มีใครรู้กับเรา เรานอนฝันอยู่คนเดียว ไม่มีใครรู้ว่าเรานอนฝันเรื่องอะไรหรอก ถ้าเรานอนฝันเรื่องอะไร เราก็เก็บความสุขอันนี้ไว้ในใจ เราต้องไปสืบค้นอะไรล่ะ
กินข้าวแล้วใช่ไหม กินข้าวจานนี้เสร็จแล้ว ข้าวนี้ข้าวในประเทศหรือข้าวนอกประเทศ แล้วไอ้คนที่มันเอาข้าวมาทำ ข้าวนี้มันเป็นข้าวพันธุ์อะไร เอ๊ะ! แล้วอาหารที่กิน
มันไปสืบอะไร ไม่ต้องไปสืบ แต่ความฝันที่มันฝังใจนี่มันฝังใจ พูดอีกเมื่อไหร่ก็ได้ จะพูดถึงเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าฝัน ฝันนะ ความฝัน สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านมา เราก็รับไว้ ฉะนั้น เวลาทางโลกเขาบอกความฝันไม่ใช่ความจริง ความฝันเป็นของคนที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์ ความฝันมันเป็นความเพ้อเจ้อ ถ้าเป็นความจริงคือชีวิตประจำวันเป็นความจริงของเรา นี่วิทยาศาสตร์เขาคิดกันอย่างนั้น
ฉะนั้น สิ่งที่เราฝัน เราก็เก็บไว้ในใจ เพราะคนเรานอนฝันก็มี คนที่ไม่เคยฝันเลยเขาจะแปลกใจว่าไอ้คนที่ฝันๆ มันปกติหรือเปล่า นี่จริตของคนมันไม่เหมือนกัน
ฉะนั้น จริตของคนไม่เหมือนกัน ฝันนะ แล้วบางคนฝันละเอียด ฝันปานกลาง ฝันเลื่อนลอย มันก็มีอีกนะ บางคนฝันนี่ฝันเป็นตัวเลขเลย ตีความกันจะไปแทงหวย โดนกินหมดทุกที นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นความเชื่ออีกอันหนึ่ง
แต่ความฝันของเรามันเป็นฝันถึงครูบาอาจารย์ ท่านมาให้ความสดชื่นกับชีวิตของเรา ท่านให้เราอบอุ่น ท่านให้ว่าเรา เราเป็นศิษย์ที่มีครู เราก็เก็บไว้ปลื้มใจคนเดียว จะไปตีความหมาย จะไปรื้อค้นสิ่งที่เป็นความฝัน จะพิสูจน์ พิสูจน์เรื่องอะไร เพราะที่มาไม่เหมือนกัน จิตของคนที่เวียนว่ายตายเกิดมันไม่เหมือนกัน ถ้ามันไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกัน เห็นไหม
คนไม่ฝันมันก็คือไม่ฝัน ไอ้คนจะฝันมันก็คนจะฝัน แล้วคนฝันสะเปะสะปะมันก็ฝันสะเปะสะปะ แต่ของเราฝันทีไร ฝันถึงครูบาอาจารย์ทุกที ถ้าฝันถึงครูบาอาจารย์ทุกที มันก็เหมือนต้นไม้ ต้นไม้ได้รดน้ำทีหนึ่งมันก็สดชื่นทีหนึ่ง ต้นไม้ ปล่อยให้มันเหี่ยวเฉา ถึงเวลามันก็เหี่ยวเฉาของมันไป ฉะนั้น ถ้ารดน้ำพรวนดินสักหนหนึ่ง ต้นไม้ที่มันเหี่ยวเฉามันก็สดชื่นขึ้นมา จิตใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราได้ฝันดี เราก็เก็บไว้เป็นหัวใจของเรา
แต่ถ้าเป็นการปฏิบัติ ถ้าเป็นการปฏิบัติที่มีครูบาอาจารย์ ท่านบอกท่านไม่ให้เชื่อเรื่องอย่างนี้ ให้เรื่องเป็นปัจจุบันธรรม ให้เรื่องเป็นพุทธศาสน์ เป็นความจริงนะ ถ้ามีสติก็สติจริงๆ เวลาจิตสงบขึ้นมานี่สงบแน่นอน จิตนี้สงบขึ้นมามีความสุข มันมีความสุข มันมีตัวตน
นี่พอจิตมันสงบขึ้นมาแล้ว “ว่างๆ ว่างๆ” ไอ้นั่นเป็นการเพ้อเจ้อทั้งนั้นน่ะ มิจฉาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิพูดสิ่งใดไม่ได้เลย มันเป็นเนื้อหาสาระข้อเท็จจริงเลย ถ้าข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนี้ นี่ถ้ามันสงบเข้ามา
สงบแล้วเราออกฝึกหัดใช้ปัญญาอย่างใด ถ้าใช้ปัญญามันเป็นภาวนามยปัญญา มันภาวนาของมันไป มันเป็นความจริงอย่างนี้ ถ้าเป็นความจริงอย่างนี้ปั๊บ เขาก็จะบอกว่า “การเพ้อฝัน การฝันต่างๆ มันยังไม่เข้าสู่มรรค มันเป็นความเลื่อนลอย มันไม่เป็นความจริง” อันนี้ก็ถูกต้อง ถ้าพูดอย่างนี้มันก็ถูก
แต่คนเราจะเป็นจะตาย คนเรา เห็นไหม ดูสิ คนเราไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งเลย ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อยนะ เราอยู่กลางทะเล แม้แต่ซากศพที่ลอยมา เราจะจมน้ำ เราก็ต้องอาศัยเกาะซากศพนี้เข้าฝั่ง ซากศพยังต้องเกาะเลย
อยู่กลางทะเล ลอยคออยู่กลางทะเล แล้วเราเหน็ดเหนื่อยมาก เราไม่มีอะไรสิ่งใดพึ่งอาศัยเลย มีซากศพลอยผ่านมา เรายังต้องเกาะซากศพนั้นไว้ก่อน ประทังชีวิตไว้เพื่อให้เข้าฝั่งได้ นี่ถ้าคนยังภาวนาไม่เป็น
ถ้าคนภาวนาเป็นแล้ว คนที่ว่ายน้ำเป็น คนที่เขามีเรือมีแพ เขาเอาเรือแพเขาเข้าฝั่งได้ การภาวนาของคนมันมีหลายระดับ การภาวนาของคนใช่ไหม อย่างนี้ถ้าพูดถึง โอ้โฮ! เขาบอก “หลวงพ่อ ผมฝันเห็นหลวงปู่มั่นเลย อย่างนี้มันต้องตีความไหม มันมีความสุขอย่างนี้ แล้วหลวงพ่อก็บอก โอ๋ย! ฝันนี้เป็นจริงเลย”
เขาก็บอกว่า “เออ! ไอ้หงบนี่มันสอนให้คนฝันเว้ย ใครปฏิบัติฝันเป็นพระอรหันต์หมดเลย”
เขาก็จะว่าไอ้หงบสอนไม่เป็นอีกแล้ว
แต่ถ้าสอนเป็นเลยนะ มึงภาวนาเลย ให้เข้ามรรคหมดเลย แล้วทุกคนเป็นพระอรหันต์หมดเลย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทำไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณ พุทธกิจ ๕ เช้าขึ้นมาจะเล็งญาณดูว่าใครมีอำนาจวาสนา แล้วชีวิตเขาสั้น ไปเอาคนนั้นก่อน
เล็งญาณเลยนะว่าใครมีอำนาจวาสนา ไม่ใช่ว่าเห็นมนุษย์ เอาสวิงช้อนเลย จะรื้อสัตว์ขนสัตว์...มันไม่มีอยู่จริง มันไม่มีอยู่จริง ฉะนั้น พอไม่มีอยู่จริง เวลาคนที่เขามีอำนาจวาสนาเขาภาวนา อำนาจวาสนามาจากไหนล่ะ
อนุปุพพิกถา เวลาจะสอนคนก็สอนเรื่องทาน สอนเรื่องทานนะ ทำบุญกุศลนะ พอเขาทำทานของเขา จิตใจเขาก็เป็นบุญกุศล จิตใจเขาก็เป็นสาธารณะ จิตใจเขาเบิกบาน พอเขาเบิกบานแล้วก็สอน ถ้าทำบุญแล้วก็ได้ไปสวรรค์ ถ้าไปสวรรค์ นี่ผลของวัฏฏะ ถ้าผลของวัฏฏะให้ถือเนกขัมมะ ถ้าเนกขัมมะถือเป็นนักบวช พอจิตใจเขาเป็นนักบวชแล้ว เขาพร้อมแล้ว เขาพร้อมที่เขาจะเข้าสู่ความดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์อริยสัจเลย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ทุกข์ ทีนี้พวกเรายังไม่มีอะไรเลยนะ พอบอกว่าทุกข์ อยู่ดีๆ ให้แบกซุงคนละท่อน เราอยู่กันปกตินี่ ไปถึงอาจารย์บอกให้เอาซุงคนละท่อน แบก แบกซุงเลย เอ็งแบกกันไว้ อยู่ดีๆ ก็เอาทุกข์มาไว้บนไหล่ไง ฉะนั้น เขาถึงบอกว่า โอ๋ย! ทุกข์นิยมไม่เอา ทุกข์นิยม โอ๋ย! ชีวิตนี้ปรารถนาความสุข อยู่ดีๆ ก็เอาทุกข์มาใส่คอเลย ทุกข์นิยมไม่เอา
แต่เวลาจิตใจเขาเป็นสาธารณะ จิตใจเขาเป็นผู้ที่พร้อมที่จะแบกหาม เขาแสวงหา เขาอยากเห็นกิเลส เขาแสวงหา คนที่เขาแสวงหา เราเอาซุงให้เขาท่อนหนึ่ง เขาเอาซุงไปเลื่อย เอาซุงไปแปรรูป เอาซุงนี้ไปสร้างบ้านสร้างเรือน เขาได้ซุงท่อนหนึ่ง เขาไปสร้างบ้านสร้างเรือน เขาไปทำประโยชน์มหาศาลเลย นี่ไง ถ้าจิตใจเขาพร้อมไง ถ้าจิตใจเขาไม่พร้อม “โอ๋ย! ทุกข์นิยม ไม่ไหว ไม่ไหว ทุกข์เกินไป” เพราะจิตใจเขาไม่พร้อมไง
ถ้าจิตใจเขาไม่พร้อม เขาเทศน์เรื่องทาน ให้มีทานของเขา ให้มีความขยันหมั่นเพียรของเขา พอจิตใจเขาพร้อมแล้วนะ นี่พูดถึงอริยสัจ เขาหยิบจับได้ เขาไปพิจารณาของเขาได้ เขาจะเป็นประโยชน์ของเขาได้ นี่เวลาสอนมันสอนกันอย่างนี้
ฉะนั้น บอกว่าเรื่องของความฝันๆ มันเป็นแบบว่า คนเราล้มลุกคลุกคลาน จิตใจเขาไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งเลย ถ้าเขาฝันถึงหลวงปู่มั่น เขาฝันถึงครูบาอาจารย์ มันก็เป็นที่ชื่นใจ ถ้าชื่นใจแล้วบอกผิดหรือ มันก็ไม่ผิด แล้วบอกมันถูกหรือ มันก็ยังไม่เข้าอริยสัจ มันก็ไม่ถูก แต่มันก็ไม่ผิด มันไม่ผิดหมายความว่า ให้จิตใจของเขามีที่พึ่ง ให้จิตใจของเขามีความเป็นไป ถ้าจิตใจของเขามีความเป็นไป มันก็เป็นประโยชน์มา
ไอ้นี่พูดถึงว่า ฝันนี่มันฝันถูกไหม แล้วมันเป็นความจริงไหม เราก็แบบว่า ถ้าสำนึกรู้นะ สำนึกตัวเราได้ แล้วเราจะขยันหมั่นเพียรของเราขึ้นไป
ฉะนั้น ไม่ต้องไปตีความอะไร ฝันแล้วก็คือฝัน นี่ดีนะ มาพูดกับนักฝันด้วยกัน พอคุยกับนักฝันด้วยกันมันก็ เออ! ถ้าฝันอย่างนี้มันก็ไม่เสียหาย ฝันอย่างนี้เราก็เก็บไว้เป็นเครื่องบำรุงหัวใจของเรา แต่ถ้าเราปฏิบัติต่อเนื่องขึ้นไปมันจะละเอียดไปกว่านี้ มันจะเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นมรรคเป็นผล เป็นสัจจะความจริง แล้วมันจะพัฒนาของมันขึ้นไป
ความฝันมันก็เหมือนศรัทธา ศรัทธาแก้กิเลสไม่ได้ แต่เพราะศรัทธาความเชื่อ เราถึงมาค้นคว้าศึกษาเรื่องศาสนา ถ้าเราเป็นความฝัน ความฝันนี้เป็นอาการของใจ ถ้าใจสงบแล้ว ถ้าใจเห็นอาการของใจ มันจับต้องของมันได้ มันจะเห็นกิเลสของมันได้ มันจะแยกแยะของมันได้ มันจะปฏิบัติของมันได้ มันเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง
ฉะนั้น เขาบอกว่า ต้องตีความหมายนั้นไหม ต้องอะไรไหม
คำว่า “ตีความหมาย” คือว่า เขาบอกว่า การภาวนาเขาจับทุกข์ที่ใจ นี่ก็เหมือนกัน อาการอย่างนี้ควรเอามาจับไปพิจารณาบ้างไหม
เราก็พิจารณาได้ แล้วมันจะตีความสิ่งใดได้ล่ะ มันจะตีความ ถ้ามันจับได้ มันพิจารณาได้ มันก็แยกแยะได้ มันเป็นเชิงลึกนะ เป็นการปฏิบัติเชิงลึก แต่ละบุคคลมันจะไม่เหมือนกัน เราจะบอกว่า ถ้าเป็นโยมขณะนี้ไม่เสียหาย มันเป็นการที่แบบว่าให้เรามีความชุ่มชื่นในหัวใจ แต่ถ้ามันจะเป็นการปฏิบัติต้องให้จิตสงบ เพราะฝันไม่ใช่ความจริง มันเป็นความฝัน
ถ้าความจริงนะ เราต้องนั่งสมาธิ จิตเราจะสงบ ถ้าจิตสงบแล้วมีสติปัญญาพร้อม เห็น รู้เห็น มีสติสัมปชัญญะ รู้พร้อม รู้ตัวทั่วพร้อม รู้เห็นตามความเป็นจริง
แล้วพิจารณาไป รู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วเกิดถ้าเป็นไตรลักษณ์ขึ้นมา มันเห็นตามความเป็นจริง เห็นกันซึ่งๆ หน้า เห็นกันเป็นปัจจุบัน ไม่ใช่เห็นกันโดยการเพ้อเจ้อเพ้อฝันกันไป เพ้อเจ้อเพ้อฝันมันเป็นอย่างนี้ ฝันดิบ ฝันสุก ความรู้สึกนึกคิดเป็นอย่างนี้หมด แล้วถ้ามีสติปัญญา มันปล่อยวางเข้ามา มันมีสัมมาสมาธิของมัน แล้วมันจับต้องได้ มันทำของมันชัดเจนของมัน ถ้าชัดเจนของมัน มันจะเป็นประโยชน์กับมัน ทีนี้ถ้าอย่างนั้นมันก็ก้าวเดินเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป อันนี้เป็นประโยชน์นะ ฉะนั้น สิ่งที่ถามมามันไม่มีความเสียหาย ให้สำนึกรู้
เราทุกข์เรายาก เราเคยปฏิบัติมา เขียนมาว่า “มีความทุกข์ยากมาก สิ่งที่เคยทำความดีมา เดี๋ยวนี้กิเลสมันครอบงำ กิเลสมันทำให้เราทุกข์เรายาก”
เห็นไหม ถ้าเราทุกข์เรายาก ถ้าไม่มีสติปัญญา พอมันมีกิเลสครอบงำ เราประชดชีวิต เราทำเราเสียหายไป แต่ถ้าเรามีสำนึกรู้ เราทำคุณงามความดีของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ สำนึกรู้กับชีวิต นี้เป็นคุณประโยชน์กับชีวิตนี้ เป็นประโยชน์กับเรา เอวัง